มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน

มหัศจรรย์.....EASTERN EUROPE บินตรงการบินไทย 9 วัน 6 คืน

Travel Information

Travel Rate

วันที่ 1

สนามบินสุวรรณภูมิ

22.00 น.   พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบินไทยแอร์เวย์ ประตู 3 เคาน์เตอร์ D Thai Airways โดยมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ทุกท่าน
 

วันที่ 2

มิวนิค • อัลลิอันซ์ อารีนา • จตุรัสมารีนเพทส • เมืองชวังเกา • ปราสาทนอยชวานชไตน์ • เมืองฟุสเซ่น

00.50 น.   ออกเดินทางสู่ มิวนิค (บินตรง) ประเทศเยอรมัน เที่ยวบินที่ TG 924 **บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง** (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง)

07.05 น.   ถึง สนามบินนานาชาติมิวนิค (Flughafen Munchen intl’ Airport) เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรียประเทศเยอรมัน ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อย (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชม. ทุกประเทศ) **หมายเหตุ  พีเรียดตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป จะถึงสนามบินนานาชาติมิวนิค เวลา 06.45 น.**

จากนั้น   แวะภ่ายรูปที่ สนามฟุตบอล อัลลิอันซ์ อารีนา (Allianz Arena) รังเหย้าของทีมสโมสรฟุตบอลดังอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ทีมยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา สนามฟุตบอลแห่งนี้สามารถจุผู้ชมได้มากว่า 75,000 คน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศเยอรมัน ด้วยทุกสร้างกว่า 340 ล้านยูโร ด้วยรูปทรงเฉพาะ ชาวมิวนิคจึงมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า Schlauchboot ซึ่งแปวว่าเรือยาง

จากนั้น   นำท่านเข้าสู่ตัว เมืองมิวนิค ให้ท่านได้อิสระที่บริเวณ จัตุรัสมารีนเพทส (Marienplatz) ซึ่งมีอาคารสำคัญของเมืองมากมาย อาทิ อนุสาวรีย์ St. Marry ศาลาว่าการเมืองหลังเก่า และศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ ซึ่งจะมีหอระฆังตุ๊กตากล ซึ่งประกอบไปด้วยระฆัง 43 ใบ และ ตุ๊กตา 32 ตัว ซึ่งจะมีโชว์ในช่วงเวลา 11.00 และ 12.00 ในทุกๆ วัน นอกจากนั้นภายในจัตุรัสยังมีร้านค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์เนม และแบรนด์ท้องถิ่นให้ท่านได้เลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ ขาหมูเสิร์ฟพร้อมเบียร์เยอรมันขนานแท้ต่อด้วยเดินทางต่อไปยัง เมืองชวังเกา (Schwangau) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.15 ชม.) เมืองอันเป็นที่ตั้งของปราสาทที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)

จากนั้น   นำท่านขึ้นมินิบัสชมวิวปราสาทและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่ สะพาน Marienbrucke (มินิบัสจะวิ่งเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศดี หากมีฝนหรือหิมะตก ขอสงวนสิทธิ์ในการพาท่านเดินชมวิว) จุดชมวิวไฮไลท์ของปราแห่งนี้ ซึ่งจะเห็นตัวปราสาทตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางขุนเขาอย่างสง่างาม

จากนั้น พาชมด้านใน ปราสาทนอยชวานชไตน์ มหาปราสาทแห่งยุคกลาง ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของแคว้นบาวาเรียเลยทีเดียว โดยถูกสร้างขึ้นจากพระราชดำรัสของพระเจ้าลูทวิชที่ 2 ในปี 1864 ซึ่งปราสาทแห่งนี้นั้น โด่ดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ นิโอโกธิคผสม โรมาเนสส์ จนทำให้เป็นต้นแบบของปราสาทในเทพนิยายของดิสนีย์ที่เราเห็นกัน โดยคำว่า นอยชวานชไตน์ แปลว่า ปราสาทหงส์ศิลาแห่งใหม่ ซึ่งมี Christian Jank นักออกแบบฉากละครเป็นผู้ออกแบบ

จากนั้น  ใช้เวลาเล็กน้อยเดินทางต่อไปยัง เมืองฟุสเซ่น (Fussen) เมืองเล็กๆ ใกล้ชวังเกา ที่มีบ้านเรือนสีสันสดใสสลับกันไปมาดูอบอุ่น และน่ารัก ในบรรยากาศสบายๆ

ค่ำ    บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคารจีน

ที่พัก Best Western Plus Hotel Fussen หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

วันที่ 3

เมืองฟุสเซ่น • เมืองการ์มิช พาร์เทินเคียร์เซิน • นั่งรถไฟ Cogwheel Train • ยอดเขาซุกชพิตเซ่อ • เมืองวาลบวร์ก พระราชวังและสวนมิราเบล • จัตุรัสเรสซิเดนท์ • บ้านเกิดโมซาร์ท • เซ็นท์ วูฟกัง

เช้า    บริการอาหารเช้า แบบ Box Set (เนื่องจากต้องออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปยังสถานีรถไฟ)

นำท่านเดินทางไปยัง เมืองการ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน (Garmisch-Partenkirchen) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) แต่เดิม เมืองนี้แบ่งเป็น 2 เมือง คือเมืองการ์มิช และเมืองพาร์เทินเคียร์เชิน ต่อมาได้รวมกันเมืองเดียว เนื่องจากเยอรมันได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1936 ระหว่างวันที่ 6 -16 กุมภาพันธ์ โดยเมืองแห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพิชิต ยอดเขาซุกชพิตเซ่อ (Zugspitze) ภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็น Top Of Germany พาท่านนั่งรถไฟ Cogwheel Train (รอบ 08.45 Eibsee - Zugspitzplatt) รถไฟรางแบบฟันเฟือง หนึ่งในสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรม ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้น ที่ยังเปิดดำเนินการในเยอรมันอยู่และถือเป็นวิธีการขึ้นเขาซุกชพิตเซ่อที่คลาสสิคที่สุด (กรณีที่รถไฟไม่สามารถทำการได้ หรือ
ไม่สามารถไปทันรอบเวลา ขอสงวนสิทธิ์ในการพาท่านขึ้นยอดเขาด้วย Cable car) โดยปลายทางของรถไฟอยู่ที่ระดับความสูง 2,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นับเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของยุโรป รองจาก Jungfrau และ Gornergrat ของสวิสเซอร์แลนด์เท่านั้น จากนั้น นำท่านไปยังระดับความสูง 2,962 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุดของยอดเขา Zugspitze และของเยอรมัน ให้ท่านได้เก็บความประทับใจ และประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ได้พิชิตจุดสูงสุดของแดนอินทรีเหล็ก

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน

จากนั้น  นำท่านสู่เมืองบ้านเกิดของคีตกวีเอกที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลกนาม ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เมืองซาลบวร์ก (Salzburg) เมืองที่มีความหมายว่า ปราสาทเกลือ เนื่องด้วยสมัยก่อนนั้นเกลือถือเป็นวัตถุดิบล้ำค่า มีราคาเทียบเท่ากับทองคำ และที่นครแห่งนี้นั้นมีเหมืองเกลือขนาดใหญ่ ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจในซาลบวร์กเฟื่องฟูมากที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรปเลยทีเดียว (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม.)

นำท่านชมความงามของ พระราชวังและสวนมิราเบล (Marabell Palace and Gardens) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1606 โดยเจ้าชายอาร์คบิชอป Wolf Dietrich ซึ่งรับสั่งให้สร้างพระราชวังขึ้นเพื่อ Salome Alt หญิงผู้เป็นที่รักของพระองค์ โดยคำว่ามิราเบล มาจากคำ 2 คำ คือ admirable ที่แปลว่าน่าชื่นชม และ คำว่า beautiful ที่แปลว่าสวย จึงมีความหมายโดยรวมว่า ความ โสภาที่น่าอภิรมย์ ดั่งความโรแมนติกอันเป็นเหตุแห่งการสร้างพระราชวังแห่งนี้ ปัจจุบันนิยมใช้เป็นสถานที่ในการจัดพิธีแต่งงาน และถ่ายรูป Pre wedding ไฮไลท์ของพระราชวังแห่งนี้นั้นคือ ตัวสวนมิราเบล สวนที่ถูกจัดเป็นสไตล์บาโรค ที่ถูกรังสรรค์เพิ่มเติมจนแล้วเสร็จในปี 1690 เป็น 1 ในฉากถ่ายทำภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลกอย่าง The Sound Of Music ที่ฉายในปี 1965 นำแสดงโดย จูลี่ แอนดรูว์ กับเพลงที่โด่งดังอย่าง “Do Re Mi”จากนั้น พาท่านข้ามแม่น้ำ Salzach ไปยังเขตเมืองเก่า สำรวจเมือง Salbrug เพิ่มเติม

นำท่านเดินเล่นและแวะถ่ายรูปบริเวณ ถนน Getreidegasse โดยถนนแห่งนี้ ในวันที่ 27 มกราคม ปี 1756 ณ บ้านเลขที่ 9 โมสาร์ท เอกกวีที่โด่งดังได้ถือดำเนินขึ้น ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้กว่า 20 ปี ก่อนย้ายไปยังเมืองหลวงที่เวียนนา โมสาร์ทได้ใช้ตัวโน็ตรังสรรค์ทำนองบทเพลงอมตะมากมาย อาทิ ซิมโฟนี่หมายเลข 1 – 41, Krönungsmesse, Don Giovanni และอีกมากมาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เขามีโอกาสได้ประพันธ์เพลงเพียง 35 ปี ก็ต้องจบชีวิตลง ถัดไปนั้นเป็น จัตุรัสเรสซิเดนท์ (Residenzplatz) จัตุรัสที่รวมสถานที่สำคัญของเมือง ไม่ว่าจะเป็น อาสน์วิหารซาลบวร์ก พระราชวังเรสซิเดนท์ รวมไปถึง ประติมากรรม Sudliche Dombogen โดยจากตรงนี้ท่านจะสามารถเห็น ป้อมโฮเฮนซาลบวร์ก (Fortress Hohensalzburg) ได้อย่างชัดเจน หลังจากชมเมืองซาลบวร์กเสร็จสิ้นแล้ว นำท่านเข้าพักผ่อนที่หมู่บ้านงามริมทะเลสาบท่ามกลางขุนเขาที่อวลไปด้วยบรรกาศสุดโรแมนติกที่เซ็นท์วูฟกัง St.Wolfgang

ค่ำ   บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคารท้องถิ่น เสิร์ฟเมนู Schnitzel หมูทอดสไตล์ออสเตรียแท้

ที่พัก SCALARAIA หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว 

วันที่ 4

ฮัลล์สตัท • เช้สกี้ ครุมลอฟ • ปราก • สะพานชาร์ล • ย่านเมืองเก่า • นาฬิกาดาราศาสตร์

เช้า    บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

จากนั้น  พาท่านเดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านมรดกโลกที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นหมู่บ้านมรกดกโลกที่สวยที่สุดในโลก ฮัลล์สตัท (Hallstatt) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) เมืองมรดกโลกที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและทะเลสาบ ตั้งอยู่ในรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย มีประชากรไม่ถึง 1,000 คน แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกว่า 800,000 คนต่อปี ด้วยทัศนียภาพตระการตา ที่ธรรมชาติและมนุษย์ร่วมกันประกอบขึ้นทำให้ เป็นสถานที่ที่เป็น The Must ของยุโรปตะวันออกเลยทีเดียว ให้ท่านอิสระในการซึมซับบรรยากาศของเมืองมรดกโลก

จากนั้น  มุ่งหน้าสู่สาธารณรัฐเช็ก สู่เมือง เช้สกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) ไข่มุกแห่งโบฮิเมียน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.3 
รูปภาพชม.) เป็นอีกเมืองสวยที่พลาดไม่ได้ ด้วยเอกลักษณ์ที่บ้านเรือนมีหลังคาสีส้ม มีแม่น้ำวอลตาว่าพาดผ่านเป็นรูปคล้ายๆ หยดน้ำ ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม พาท่านชม ปราสาทเช้สกี้ ครุมลอฟ ด้านนอก ปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งถือว่าใหญ่มากหากเทียบกับขนาดเมืองนอกจากนั้นเมืองนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1992 อีกด้วย

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน

จากนั้น   นำท่านสู่เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ที่ เมืองปราก (Prague) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.3 ชม.) ชมเสน่ห์ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของยุโรปตะวันออก ให้ท่านได้ใช้เวลาเต็มที่ที่เมืองแห่งนี้ นำท่านชม สะพานชาร์ล (Charle Bridge) สะพานหลักสุดคลาสสิคที่โด่งดังที่สุดของเมืองเชื่อมฝั่งเมืองเก่าและเมืองใหม่ที่ถูกแบ่งด้วยแม่น้ำวอลตาว่าเข้าด้วยกัน สะพานแห่งนี้เริ่มก่อสร้างในปี 1357 ใช้เวลาในการสร้างมากกว่า 100 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ เดิมทีชื่อว่า Stone Bridge หรือ Prague Bridgeและมาเปลี่ยนชื่อมาเป็นสะพานชาลส์ ในปีค.ศ. 1870 ตัวสะพานมีความยาว 621 เมตร และมีความกว้างเกือบ 10 เมตร เป็น 1 ในมุมถ่ายรูปที่ท่านต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง ไม่ไกลกันจะพบกับ ย่านเมืองเก่า (Old Town Square) ที่มีไฮไลท์สำคัญของย่านนี้นั่นคือ การชมนาฬิกาดาราศาสตร์เมืองปราก ซึ่ง ถือเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังทำงานได้อยู่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1410 เท่ากับว่าตอนนี้มีอายุมากกว่า 600 ปีแล้ว ส่วนประกอบของนาฬิกา มีอยู่สามส่วนหลักๆ ได้แก่ หน้าปัดที่แจ้งเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การอธิบายตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า และแสดงรายละเอียดอื่นอีกเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ในทุกๆ ต้นชั่วโมงนั้นจะมีตุ๊กตากลพระสาวกพระเยซูทั้ง 12 ท่านปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงระฆัง ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 ในทุกวันบริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของ Church of Our Lady before Týn ถือเป็นโบสถ์หลักของย่านเขตเมืองเก่า สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมันเนสในตอนต้น ก่อนมีการผสมรูปแบบกอธิคในอีก 3 ศตวรรษต่อมา ภายในโบสถ์มีไปป์ออร์แกนที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปราก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1673

ค่ำ    บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

ที่พัก  Astoria Hotel Prague หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

วันที่ 5

ปราก • ปราสาทปราก • โบสถ์ เซ็นท์วีตัส • ถนน Golden Lane • บราทิสลาว่า

เช้า    บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

จากนั้น  นำท่านชม ปราสาทลำดับที่ 1 ของประเทศ ที่ ปราสาทปราก (Prague Castle) มหาปราสาที่สร้างมากว่า 1,200 ปี Guinness World Records ได้บันทึกไว้ว่า เป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ถึง 70,000 ตารางเมตร เคยเป็นที่ประทับของบรรพกษัตริย์ของชาวโบฮิเมียน ปัจจุบันใช้เป็นทำเนียบประธานาธิบดี สูงเด่นตระหง่านอยู่บนเขาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวอลตาว่า ภายในบริเวณปราสาทนั้นมีสิ่งปลูกสร้างมากมายประหนึ่งเมืองๆ หนึ่ง อาทิ อาสน์วิหารนักบุญวีตัส (St. Vitus Cathedrals) โบสถ์คริสต์แห่งแรกของปราก สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 870 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่นักบุญวีตัส ผู้สละชีวิตในช่วงยุคโรมันราวปี 303 ก่อนที่พระเจ้าคอนสแตนตินจะประกาศตนเป็นคริสศาสนิกชน โบสถ์ให้นี้ใช้เวลาในการสร้างกว่า 600 ปี ภายในจะประดับด้วยกระจกสีและ Rose Window หน้าต่างที่ออกแบบให้เป็นรูปคล้ายกับดอกกุหลาบ

จากนั้นไปชมอีก 1 จุดที่สวยไม่แพ้กัน นั่นคือ ถนนทองคำ (Golden Lane) โดยสาเหตที่ได้ชื่อว่าถนนทองคำนั้น เนื่องจากบริเวณนี้นั้นเป็นที่พำนักของเหล่าช่างทองที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในช่วงที่มีการเล่นแร่แปรธาตุกัน แต่ลักษณะของบ้านเรือนสีลูกกวาดสดใสและฉูดฉาดที่ท่านจะเห็นในปัจจุบันนั้น มาจากพระราชดำรัสของพระนางมาเรีย เทเรซ่า มหาจักพรรดินีออสเตรีย ที่โปรดบูรณะให้มีความสวยงาม

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารไทย

จากนั้น นำท่านมุ่งหน้าไปสู่ สาธารณะรัฐสโลวัก (Slovak Republic) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) ที่เมืองหลวง     บราทิสลาว่า (Bratislava) เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่แม่น้ำดานูบ แม่น้ำสายสำคัญของยุโรปไหลผ่าน และเป็นเมืองโปรดของพระนางมาเรีย เทเรซ่า อีกด้วย ให้ท่านแวะถ่ายรูปกับ ปราสาทบราทิสลาว่า (Bratislava Castle) ด้านนอก ปราสาทสำคัญของเมือง ในอดีตเคยถูกใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ฮังการี และเป็นป้อมปราการด่านสำคัญที่ไว้สำหรับป้องกันข้าศึกที่จะมารุกรานอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี ด้วยความได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์จากการที่ตัวปราสาทตั้งอยู่บนสูง จึงส่งผลให้ท่านจะได้ชมวิวที่สวยงดงามยามเย็นที่แม่น้ำดานูบทอดยาว และหากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจะสามารถเห็นพื้นที่ราบของประเทศฮังการีได้อีกด้วย ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล

ค่ำ    บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

ที่พัก Park Inn by Radisson Danube Bratislava Hotel หรือ เทียบเท่าระดับ 4 ดาว 

วันที่ 6

บราทิสลาว่า • ปูดาเปสต์ • สะพานเชน • คาสเทิลฮัลล์ • จัตุรัสวีรบุรุษ • โรงอุปรากรณ์ฮังการี • มหาวิหารเซ็นท์ สตีเฟ่น • ล่องเรือพร้อมดินเนอร์สุดหรูบนแม่น้ำดานูบ

เช้า   บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

จากนั้น  นำท่านสู่ เมืองบูดาเปสต์ (Budapest) ประเทศฮังการี อีก 1เมืองงามที่ ถูกขนานนามว่าเป็นปารีสแห่งยุโรปตะวันออก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) ด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน หล่อหลอมศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นและผสมผสานกันอย่างลงตัว แต่เดิมนั้น บูดาเปสต์แบ่งออกเป็น 2 เมือง คือ เมืองบูดา (Buda) และเมืองเปสต์ (Pest) โดย มีบูดาเป็นเขตเมืองหลวง ต่อมาได้มีการขยายเมือง แต่บูดานั้นมีพื้นที่เขาเป็นส่วนมาก ทำให้ขยายเขตเมืองได้ยาก ผิดกับฝั่งเปสต์ ที่เป็นพื้นที่ราบกว้างขวาง ทำให้เกิดการรวมเมืองกันเกิดขึ้น โดยถ้าท่านสังเกตจะพบว่า ฝั่งบูดานั้นจะมีสิ่งปลุกสร้างเก่า และเป็นที่พักอาศัย ส่วนฝั่งเปสต์จะเป็นย่านอาคารสำนักงาน ที่ทำการรัฐบาล จะกล่าวคือเป็นเขตเมืองใหม่ก็ไม่ผิด

แวะถ่ายรูปกับ สะพานเชน (Chain Bridge) 1 ใน 4 สะพานใหญ่ ข้ามแม่น้ำดานูบ ที่มีสัญลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นคือรูปปั้นสิงโต จากนั้นพาท่านชมความงามของกลุ่มอาคารบน คาลเทิล ฮิลล์ (Castle Hill) เนินเขาริมแม่น้ำดานูบอันเป็นที่ตั้งของ พระราชวังบูดา โบสถ์แมนทิอัส และ ป้อมชาวประมง เรียงกันไปตามแนวเขา ปราสาทบูดา (Buda Castle)  ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในปี 1265 ในสมัยของพระเจ้าเบล่าที่ 4 ของราชวงศ์อาปาร์ด แต่ถูกสร้างเพิ่มเติมและบูรณะมาเรื่อยๆ สำหรับตัวปราสาทที่ท่านจะเห็นนั้น จะเป็นการสร้างแบบบาโรก ระหว่างปี 1749 และ 1769 ถือเป็นพระราชวังหลวงของพระราชวงศ์ทั้งหมดของฮังการี ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นหอศิลป์แห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์บูดาเปสต์ ถัดไปทางตอนเหนือของเนินเขา

พาท่านชมบริเวณโดยรอบของ ป้อมชาวประมง (Fisherman’s Bastian) และ โบสถ์แมนทิอัสMantius Church) ถือว่าเป็นสิ่งปลูก สร้างแห่งแรกๆ ของคาลเทิล ฮิลล์แห่งนี้ เริ่มจากตัวโบสถ์ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสส์สร้างตั้งแต่ในปี 1015 และได้รับการบูรณะด้วยศิลปะโกธิคในช่วงศตวรรษที่ 14 ถือเป็น 1 ใน 7 มหาศาสนสถาน ในยุคกลางของฮังการี สร้างโดยพระเจ้าสตีเฟ่น กษัตริย์พระองค์แรกของฮังการี เดิมชื่อว่า The Church of Our Ladyก่อนเปลี่ยนตามชื่อของพระเจ้าแมนทิอัส หลังจากได้ทรงสร้างหอคอยของโบสถ์ และได้ใช้สถานแห่งนี้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ถึง 2 ครั้ง นอกจาก นั้นยังเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระเจ้าเบล่าที่ 3 อีกด้วย โดยโบสถ์จะตั้งอยู่ในบริเวณป้อมชาวประมง ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองการครบรอบ 1,000 ปี ของการก่อตั้งประเทศฮังการี ในปี 1896 ลักษณะของป้อมนั้นเป็นทรงสูงแหลม มาจากลักษณะกระโจมซึ่ง เป็นที่พักของชาวประมงแม็กย่าร์ในอดีต และยังเป็นที่ตั้งของอนุเสาวรีย์ของ เซ้นท์สตีเฟ่นอีกด้วย นอกเหนือจากรูปแบบสถาปัตยธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่มีใครเหมือนแล้ว ท่านจะได้ดื่มด่ำกับวิวของแม่น้ำดานูบและอาคารของฝั่งเปสต์ ที่มีไฮไลท์สำคัญ เด่นตระหง่านกว่าอาคารอื่นๆ นั่นคือ อาคารรัฐสภาของประเทศฮังการี (Hungarian Parliament) ซึ่งถือว่า เป็น 1 ใน 3 อาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คู่กับ ที่ลอนดอน และวอชิงตัน ดี.ซี.

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น เมนูกูลาร์ช อาหารท้องถิ่นที่ห้ามพลาด *เป็นซุปเนื้อ หรือ หมู กับมันฝรั่ง เติมรสชาติเอกลักษณ์พิเศษด้วยพริกปราปิก้า

นำท่านชม จัตุรัสวีรบุรุษ (Hero Square) อันเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ของเหล่าบรรพชนหัวหน้าเผ่าแม็กยาร์ทั้ง 7 ที่ได้รวมกับสร้างอาณาจักรฮังการีภายใต้การนำของเจ้าชายอาปาร์ด ในปี 896 รวมไปถึงบุคคสำคัญและกษัตริย์ในอดีต ตรงกลางยังมีรูปปั้นเทพแกเบรียล(Gabriel)เทพของกรีกโบราณซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอัครทูตสวรรค์ผู้นำสารจากพระเจ้าซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บน Millennium Monument ที่มีความสูงถึง 36 เมตร 

นำท่านเข้าชมอีก 1 สถานที่ที่น้อยท่านจะทราบว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือ โรงอุปรากรณ์ฮังการี (Hungarian State Opera) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นโรงโอเปร่าที่สวยงามที่สุดในยุโรป แม้แต่พระเจ้าฟรัน โจเซฟที่ 1 ถึงขนาดเสด็จมาเพียงครั้งเดียวในครั้งการแสดงรอบปฐมฤกษ์ในวันที่ 27 กันยายน 1884 และไม่โปรดที่จะเสด็จกลับมาอีกเลย เนื่องจากมีความสวยงามมากกว่าโรงโอเปร่าที่เวียนนา ซึ่งถือว่าเป็นหลวงของดนตรีคลาสสิค ตัวโรงอุปรากรณ์แห่งนี้ถูกสร้างสไตล์นิโอโรเนสซองส์และบาโรก บริเวณอัฒจันทร์จะมีสีทองอร่ามจากทองคำ
เปลวที่เคลือบไว้ทุกอนู โดยสามารถจุผู้ชมได้ถึง 1,261 คน

จากนั้น พาชม มหาวิหารเซ็นท์สตีเฟ่น (St. Stephen's Basilica) มหาวิหารที่ตั้งตามชื่อของกษัตริย์นักบุญผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งฮังการี เริ่มสร้างในปี 1851 โดยต้องใช้สถาปนิกถึง 2 ท่าน คือ Jozsef Hild และ Miklós Ybl ตามลำดับ จนแล้วเสร็จในปี 1905 จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือ หลังคาโดมที่อาคารหลักที่มีความสูงถึง 96 เมตร เท่ากับอาคารรัฐสภา ซึ่งถึงว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดของบูดาเปสต์ เนื่องจากได้มีกฎหมายว่าห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สุงเกิน 96 เมตร นั่นเอง

19.00  นำท่านสู่บรรยากาศแสนพิเศษบนเรือล่องแม่น้ำดานูบสุดหรู พร้อมรับประทานอาหารเย็นบนเรือ โดยตลอดทาง ท่านจะได้เห็นอาคารต่างๆ ที่ประดับไฟยามค่ำคืน เคล้ากับเสียงดนตรีเพราะๆ ซึ่งแม่น้ำดานูบที่บูดาเปสต์นั้น หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นวิวริมแม่น้ำดานูบที่สวยที่สุดในยุโรป”

ที่พัก  Danubius Hotel Flamenco หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว 

วันที่ 7

ปูดาเปสต์ • Fashion Outlet Prandoft • เวียนนา • พระราชวังและสวนเซินน์บรุน • ถนนคาร์ทเนอร์

เช้า    บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม

จากนั้น  นำท่านผ่านชม อาคารรัฐสภาของประเทศฮังการี (Hungarian Parliament) อาคารทรงโกธิกผสมโดมแบบโรเนสซองส์ ใช้แรงงานกว่าหนึ่งแสนคน อิฐกว่าสี่สิบล้านก้อน หินล้ำค่ากว่า ห้าแสนชิ้น และทองคำกว่า 40 กิโลกรัม รังสรรค์ออกมาจนแล้วเสร็จในปี 1904 มีประตู 27 บาน บันได 29 จุด และมีห้องมากถึง 691 ห้อง

จากนั้น  เดินทางกลับสู่เขตประเทศออสเตรีย ไปยัง Fashion Outlet Parndorf (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) พรีเมี่ยมเอ้าท์เลทที่ให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ก็มีให้ได้เลือกสรร (เอ้าท์เลทปิดวันอาทิตย์ หากโปรแกรมตรงกับวันอาทิตย์ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเป็น PREMIUM OUTLET BUDAPEST แทน)

เที่ยง   อิสระรับประทานอาหารกลางวันภายในเอ้าท์เลทเพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาของท่าน

นำท่านมุ่งหน้าสู่ กรุงเวียนนา (Vienna) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เมืองหลวงของออสเตรีย และดนตรีคลาสสิค เป็นเมืองที่โมสาร์ทมาพำนักในยุคที่รุ่งเรืองของชีวิต พาท่านเข้าชม พระราชวังและสวนเชินน์บรุน (Palace and Gardens of Schonbrunn) พระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บวร์ค สร้างแบบบาโรก คำว่าเชินน์บรุน นั้น มีความหมายว่า น้ำพุร้อนอันแสนสวยงาม โดยมีการริเริ่มสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1569 หลังจากที่พระเจ้าแม็กซีเมเลี่ยนที่ 2 ได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้ แต่ตัวอาคารในปัจจุบันนั้นสร้างและต่อเติมในสมัยของพระนางมาเรีย เทเรซ่า โดยมีพระราชประสงค์ให้มีความยิ่งใหญ่และสวยงามทัดเทียมพระราชวังแวร์ซายน์ของราชวงศ์บูร์บง และด้วยพระองค์ทรงโปรดสีเหลืองมากจึงได้มีการใช้สีเหลืองโทนพิเศษตกแต่งด้านนอกของพระราชวัง และต่อมาสีเหลืองโทนนี้นั้นจึงได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าสีเหลืองเทเรซ่า

จากนั้น  พาท่านสู่ ถนนคนเดินแห่งแรกๆ ของยุโรป ที่ ถนนคาร์ทเนอร์ (Kartner Street) ที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโรมัน เป็น 1 ใน ถนนที่มุ่งสู่กรงโรมในสมัยนั้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ Strata Carinthianorum ก่อนจะถูกพัฒนามาเป็นถนนสายช้อปปิ้งในช่วงศตวรรษที่ 19 แม้อาคารบ้านเรือนส่วนมากจะถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทางการก็ได้สร้างตึกรามบ้านช่องที่รูปแบบเดิม เพื่อคงเสน่ห์แห่งถนนสายนี้ไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีศาสนสถานที่สำคัญบนถนนแห่งนี้อีกแห่งหนึ่ง คือ อาสนวิหารสเตฟาน (St. Stephen's Cathedral) โบสถ์เก่าแก่ที่อยู่มา
ตั้งแต่ปี 1160ตัวอาสนวิหารสร้างด้วยหินปูนมีความยาว 107 เมตร กว้าง 70 เมตร และ สูง 136.7 เมตร มีระฆังทั้งหมด 23 ใบ ใบใหญ่ที่สุดชื่อว่า ระฆังพุมเมริน ที่มีน้ำหนักถึง 20,130 กิโลกรัม ถือเป็นระฆังแบบแกว่งที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรีย และเป็นอันดับ 2 ของยุโรป รองจากระฆังปีเตอร์ ของเยรมันเท่านั้น กล่าวกันว่าบิโทเฟ่นรู้ตัวว่าตนสูญเสียการได้ยินเพราะว่าเมื่อหันมองไปบนอาสนวิหารแห่งนี้แล้วเห็นนกบินออกจากหอระฆังแต่กลับไม่ได้ยินเสียงระฆังเหมือนเคย

ค่ำ   บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร เมนู พิเศษ Apple strudel ของหวานสุดคลาสสิคของเวียนา

ที่พัก  IntercityHotel Wien หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว 

วันที่ 8

เวียนนา • ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา

เช้า   บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม

ผ่านชม ถนนสายวงแหวน Ringstrasse ถนนที่ตัดผ่านอาคารสำคัญของเวียนนาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงละครโอเปร่าเวียนนา พิพิธภัณฑ์ต่างๆ อาคารรัฐสภา ตลอดจนถึง มหาวิทยาลัยเวียนนา อาคารเหล่านี้นั้นได้รับการบูรณะภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แม้จะสร้างใหม่ขึ้นมา ทางการก็ยังคงสถาปัตยกรรมในแบบดั้งเดิมอยู่

สมควรแก่เวลา  นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา (Flughafen Wien) เพื่อให้ท่านได้มีเวลาทำการคืนภาษี (Vat Refund)

14.35 น.   ออกเดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG937 **บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง

**พีเรียดตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป จะออกจากสนามบินนานาชาติเวียนนา เวลา 13.30 น.**

วันที่ 9

สุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ

05.20 น.   ถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ด้วยความประทับใจ

อัตราค่าบริการรวม

  • ตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด Economy Class ไป-กลับพร้อมกรุ๊ป (BKK-MUC/VIE-BKK) สายการบินไทย Thai Airway(TG) 
  • ภาษีน้ำมันและภาษีสนามบินทุกแห่ง
  • ค่าระวางน้ำหนักกระเป๋าไม่เกิน 20 กก.กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง Hand Carry 7 กก.ต่อ 1 ใบ
  • ค่าที่พักโรงแรมตลอดการเดินทาง ระดับมาตรฐาน (พักห้องละ 2 ท่าน)
  • ค่าอาหารทุกมื้อตามรายการระบุ, น้ำดื่มบริการบนรถวันละ 1 ขวด/ท่าน
  • ค่าเข้าชมสถานที่ตามรายการระบุ
  • ค่ารถโค้ชรับ-ส่งสถานที่ท่องเที่ยวตามรายการระบุ
  • ค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่นและหัวหน้าทัวร์นำเที่ยวคนไทย
  • ทิปสำหรับคนขับรถและไกด์ท้องถิ่น ประมาณ 2 ยูโร/ท่าน/วัน
  • ประกันอุบัติเหตุวงเงิน 3,000,000 บาท  ค่ารักษาพยาบาลวงเงิน 2,000,000 บาท เงื่อนไขประกันการเดินทาง  ค่าประกันอุบัติเหตุและค่ารักษาพยาบาล คุ้มครองเฉพาะกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ไม่คุ้มครองถึงการสูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวและไม่คุ้มครองโรคประจำตัวของผู้เดินทาง

อัตราค่าบริการไม่รวม

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และ หัก ณ ที่จ่าย 3%
  • ค่าวีซ่าเชงเก้น 3,500 บาท / ท่าน
  • ค่าทำหนังสือเดินทางไทย และค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติ
  • ค่าน้ำหนักกระเป๋าเดินทางในกรณีที่เกินกว่าสายการบินกำหนด 20 กิโลกรัมต่อท่าน
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อาทิ อาหารและเครื่องดื่มที่สั่งเพิ่มพิเศษ,โทรศัพท์-โทรสาร,อินเตอร์เน็ต,มินิบาร์, ซักรีดที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ
  • ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากความล่าช้าของสายการบิน,อุบัติภัยทางธรรมชาติ,การประท้วง,การจลาจล,การนัดหยุดงาน,การถูกปฏิเสธไม่ให้ออกและเข้าเมืองจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่กรมแรงงานทั้งที่เมืองไทยและต่างประเทศซึ่งอยู่นอกเหนือความควบคุมของบริษัทฯ
  • ค่าทิปไกด์ หัวหน้าทัวร์ตามระเบียบธรรมเนียมวันละ 100 บาท รวมทั้งทริป  9 วัน  900 บาท/ท่าน

ราคา

THB 10,000,000

24 เมษายน 2567

วันเดินทางทั้งหมด

People

Adult

(Age 12+)

Child

(Age 6 to 11)

Infant

(Age 3 to 5)

Booking

Share this tour

Hippo’s Blog

View more

Hippo’s Tips & Recommend

View more